ประหยัดค่าไฟง่ายๆ ด้วยวิธีการเลือกแอร์ให้เหมาะกับห้องของตน

Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest
Share on linkedin
Share on email
Share
Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest
Share on linkedin
Share on email

สำหรับประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อนแทบจะทั้งปี แน่นอนว่าทุกบ้านเรือนจะต้องมีแอร์ปรับอากาศอย่างน้อยหนึ่งตัว ซึ่งการติดแอร์จะตามมาด้วยค่าไฟที่เพิ่มขึ้น นานไปแอร์ก็เริ่มกินค่าไฟ ทุกท่านก็จะล้างแอร์เพื่อให้แอร์กลับมาเย็นดังเดิม แต่ส่วนใหญ่แล้วกลับมองข้ามขั้นตอนหนึ่งที่สามารถประหยัดค่าไฟได้ นั่นก็คือ การเลือกแอร์ให้เหมาะกับขนาดห้อง วันนี้ bTaskee ได้นำบทความเกี่ยวกับการเลือกขนาดแอร์มาให้ทุกท่านได้อ่านประกอบการตัดสินใจเลือกแอร์เข้าบ้านค่ะ

BTU แอร์ คืออะไร? 

BTU ย่อมาจาก British Thermal Unit เป็นหน่วยวัดพลังงานความร้อนตามมาตรฐานสากล เมื่อนำมาใช้กับแอร์ BTU จะหมายถึงความสามารถในการถ่ายเทความร้อนออกจากห้องนั้นๆ ภายในเวลา 1 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น แอร์ขนาด 20,000 BTU หมายถึงแอร์เครื่องนี้ สามารถไล่ความร้อนออกจากห้องได้ 20,000 BTU ภายใน 1 ชั่วโมง ซึ่งความสามารถในการไล่ความร้อนแล้วแทนที่ด้วยความเย็นก็จะสูงขึ้นไปตามขนาดของ BTU 

แต่ใช่ว่าแอร์ BTU สูงๆ จะเหมาะกับห้องทุกห้องในบ้าน เพื่อความคุ้มค่าในการซื้อแอร์ วันนี้ bTaskee เลยมีวิธีคำนวณหาขนาดของ BTU แอร์ ให้เหมาะกับขนาดห้องมาฝากกัน หยิบตลับเมตรแล้วมาคำนวณไปพร้อมๆ กันเลย!

วิธีคำนวณ BTU ของแอร์ ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง

พื้นที่ห้อง (กว้างxยาว) x ค่า Cooling Load = BTU

ค่า Cooling Load คือค่าความร้อนที่เกิดขึ้นภายในห้อง ซึ่งเครื่องปรับอากาศ หรือแอร์จะต้องกำจัดความร้อนนี้ออกไป แบ่งได้ตามลักษณะของห้องโดยคำนวณจากปัจจัยต่างๆ ภายในห้องนั้นๆ

ห้องนอน : ค่า Cooling Load เท่ากับ 700-750 BTU/ตารางเมตร

ห้องนั่งเล่น : ค่า Cooling Load เท่ากับ 750-850 BTU/ตารางเมตร 

ห้องครัว : ค่า Cooling Load เท่ากับ 900-1000 BTU/ตารางเมตร

ห้องทำงาน : ค่า Cooling Load เท่ากับ 800-900 BTU/ตารางเมตร

ห้องประชุม : ค่า Cooling Load เท่ากับ 850-1000 BTU/ตารางเมตร 

ตัวอย่างวิธีการคำนวณ เช่น ห้องทำงาน กว้าง 5 เมตร ยาว 6.5 เมตร 

(5 x 6.5) x 800 = 26,000 BTU  

ดังนั้น ห้องทำงานนี้ ควรเลือกใช้แอร์ขนาด 26,000 BTU อาจสูง-ต่ำกว่าได้ แต่ไม่ควรคาดเคลื่อนเกิน 1,000 BTU

นอกจากนั้น สำหรับห้องที่มีเพดานสูงเกิน 3 เมตร ให้คำนวณขนาด BTU แอร์ โดยใช้สูตร 

[พื้นที่ห้อง (กว้างxยาวxสูง) x ค่า Cooling load] หาร 3 = BTU  

การเลือกแอร์ที่ BTU เหมาะสมกับขนาดห้อง จะช่วยให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เป็นการประหยัดพลังงาน ช่วยยืดอายุการใช้งานให้เครื่องปรับอากาศ และช่วยเซฟค่าไฟได้ระดับหนึ่ง

ปัจจัยอื่นๆ ที่ควรพิจารณาก่อนเลือกซื้อแอร์  

นอกจากการคำนวณ BTU ของแอร์แล้ว การเลือกซื้อแอร์ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น

  • ทิศทางของแดด ส่องเข้าห้องมาก-น้อยแค่ไหน ห้องที่แดดส่องตอนเช้า หรือตอนกลางวัน ความร้อนสะสมในห้องจะมากกว่า หากต้องการเปิดแอร์ในช่วงเวลานี้ อาจต้องเลือกแอร์ที่มี BTU สูงๆ เพื่อช่วยไล่ความร้อนได้เร็วขึ้น หลังคามีฉนวนกันความร้อนหรือไม่ หากหลังคามีฉนวนกันความร้อน จะช่วยป้องกันความร้อนจากแดดภายนอก ลดอุณหภูมิในห้อง ส่งผลให้ความร้อนสะสมในห้องน้อยกว่า สามารถเลือกแอร์ที่ BTU ต่ำลงมาได้
  • ความถี่ในการเปิด-ปิดประตู หากเปิด-ปิดประตูบ่อยๆ อากาศภายนอกที่ร้อนกว่าจะเล็ดลอดเข้าไปได้ ส่งผลให้แอร์ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อไล่ความร้อนที่เข้ามาออกไป
  • จำนวนคนที่อยู่ภายในห้อง ยิ่งคนอยู่เยอะความร้อนที่แผ่ระบายออกจากตัวก็จะยิ่งมาก ส่งผลให้ห้องร้อนขึ้น อาจต้องใช้เวลามากขึ้นกว่าห้องจะเย็น 
  • จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้อง เช่น ไมโครเวฟ ตู้เย็น ทีวี เตารีด ฯลฯ ก็มีส่วนทำให้ห้องร้อนขึ้นได้เช่นกัน  

แอร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีราคาสูง ดังนั้น ก่อนจะซื้อแอร์มาติดตั้งจึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบ หรือหากไม่มั่นใจสามารถขอคำแนะนำจากตัวแทนหรือผู้เชี่ยวชาญในร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ เพื่อให้ได้แอร์ที่เหมาะสมกับห้องของเรามากที่สุด จะได้สบายใจกับค่าไฟ และแน่นอนว่าแอร์ทุกตัวต้องได้รับการล้างเพื่อให้คงความเย็นไว้ bTaskee มีบริการล้างแอร์ ที่ให้บริการโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ ท่านใดสนใจสามารถจองบริการได้ผ่านแอปพลิเคชั่น bTaskee ได้เลยค่ะ

ติดตามข่าวสารล่าสุด โปรโมชั่นและเคล็ดลับดีๆที่ช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น จาก bTaskee

The application is currently deployed in Thailand Vietnam

download-asker-btaskee-ver-3

Book a home cleaning task
right away

Download, register and experience exciting features only available on bTaskee App – On-demand Home Services