ปวดหลัง ไม่ใช่เรื่องเล่น เคล็ดลับและวิธีจัดการที่คุณอาจไม่เคยรู้

Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest
Share on linkedin
Share on email
วิธีแก้อาการปวดหลัง
Share
Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest
Share on linkedin
Share on email

ใครๆ ก็รู้ว่า ปวดหลัง เป็นเรื่องน่าหงุดหงิด แต่จะมีใครรู้บ้างว่ามันสามารถทำให้ชีวิตประจำวันพังพินาศได้ขนาดไหน ลองนึกภาพดูสิ คุณกำลังจะไปเดทกับคนที่ถูกใจ แต่ดันลุกไม่ขึ้นเพราะปวดหลังจนตัวงอ หรือกำลังจะไปสัมภาษณ์งานสำคัญ แต่ต้องยกเลิกเพราะเดินไม่ไหว น่าเศร้าใช่ไหมล่ะ

ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า อาการปวดหลังเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยมาก โดยประมาณ 80% ของประชากรทั่วโลกจะประสบปัญหานี้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต นอกจากนี้ การศึกษาทางระบาดวิทยายังพบว่า อาการปวดหลังเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการขาดงานที่ไม่เกี่ยวกับการเจ็บป่วยทั่วไป

แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะวันนี้เรามีข้อมูลเด็ดๆ มาฝากกัน ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุแปลกๆ ที่ทำให้ปวดหลัง วิธีบรรเทาอาการง่ายๆ ที่ทำได้เองที่บ้าน และสัญญาณอันตรายที่บอกว่าคุณควรไปหาหมอด่วน มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง

สาเหตุสุดช็อคของอาการ ปวดหลัง ที่คุณอาจคาดไม่ถึง

รู้หรือไม่ว่า บางครั้งสาเหตุของอาการปวดหลังก็ไม่ได้มาจากการยกของหนักหรือนั่งผิดท่าอย่างที่หลายคนคิด แต่มันอาจมาจากสิ่งที่คุณไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลยก็ได้

กระเป๋าสตางค์ตัวร้าย

ใครจะไปคิดว่ากระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในกระเป๋าหลังกางเกงจะเป็นตัวการร้ายทำให้ปวดหลังได้ แต่เชื่อเถอะ มันเป็นไปได้จริงๆ การนั่งทับกระเป๋าสตางค์เป็นเวลานานๆ ทำให้สะโพกเอียง ส่งผลให้กระดูกสันหลังบิดเบี้ยว และนำไปสู่อาการปวดหลังในที่สุด

การนั่งทับกระเป๋าสตางค์สามารถทำให้เกิดภาวะ “กระดูกสันหลังคด” (Scoliosis) ชั่วคราวได้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการกดทับเส้นประสาท Sciatic nerve อันเป็นสาเหตุของอาการปวดร้าวลงขาได้ ลองย้ายกระเป๋าสตางค์ไปไว้กระเป๋าหน้าดูสิ รับรองว่าหลังจะโล่งขึ้นแน่นอน

รองเท้าคู่โปรด

ใช่แล้ว รองเท้าคู่สวยที่คุณรักอาจเป็นตัวการทำให้คุณปวดหลังก็ได้ โดยเฉพาะรองเท้าส้นสูงหรือรองเท้าที่ไม่มีแผ่นรองรับอุ้งเท้า การใส่รองเท้าแบบนี้เป็นประจำจะทำให้การกระจายน้ำหนักตัวไม่สมดุล ส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักเกินไป

การศึกษาทางชีวกลศาสตร์ (Biomechanics) พบว่า การใส่รองเท้าส้นสูงทำให้ศูนย์กลางมวลของร่างกาย (Center of Mass) เคลื่อนไปด้านหน้า ส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างต้องทำงานหนักขึ้นถึง 20-30% เพื่อรักษาสมดุล ลองเปลี่ยนมาใส่รองเท้าที่มีการรองรับอุ้งเท้าที่ดีดูบ้าง หลังของคุณอาจจะขอบคุณก็ได้นะ

มือถือตัวแสบ

ยุคนี้ใครๆ ก็ติดมือถือ แต่รู้ไหมว่าการก้มหน้าจ้องมือถือนานๆ ทำให้คอและหลังของคุณต้องแบกรับน้ำหนักมากกว่าปกติถึง 4-5 เท่า นี่แหละที่มาของอาการปวดคอและปวดหลังที่หลายคนเป็นกัน

การวิจัยทางการแพทย์พบว่า การก้มคอ 60 องศาเพื่อดูมือถือ ทำให้คอต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 27 กิโลกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับการแบกเด็กอายุ 8 ขวบไว้บนคอ! ภาวะนี้เรียกว่า “Text Neck Syndrome” ซึ่งนอกจากจะทำให้ปวดคอปวดหลังแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหากระดูกคอเสื่อมก่อนวัยได้อีกด้วย ลองยกมือถือขึ้นมาระดับสายตาแทนการก้มหน้าดูสิ รับรองว่าคอและหลังจะแฮปปี้ขึ้นแน่นอน

ที่นอนแสนรัก

ที่นอนที่คุณนอนทุกคืนอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดหลังก็ได้นะ โดยเฉพาะถ้ามันเก่าเกินไปหรือนุ่มเกินไป ที่นอนที่ดีควรรองรับสรีระร่างกายได้อย่างเหมาะสม ไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป

ที่นอนที่เหมาะสมควรมีความแน่นระดับปานกลาง (Medium-firm mattress) ซึ่งช่วยรักษาความโค้งตามธรรมชาติของกระดูกสันหลัง และช่วยลดแรงกดทับบนกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ลองสังเกตดูว่าตื่นนอนมาแล้วรู้สึกปวดหลังบ่อยๆ ไหม ถ้าใช่ ก็ถึงเวลาเปลี่ยนที่นอนใหม่แล้วล่ะ

ความเครียดตัวร้าย

ใช่แล้ว ความเครียดก็ทำให้ปวดหลังได้เหมือนกัน เมื่อเราเครียด กล้ามเนื้อทั่วร่างกายจะเกร็งตัว รวมถึงกล้ามเนื้อหลังด้วย ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้

การวิจัยทางประสาทวิทยาพบว่า ความเครียดเรื้อรังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน Cortisol ในปริมาณสูง ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวและเพิ่มความไวต่อความเจ็บปวด (Pain sensitivity) นอกจากนี้ ความเครียดยังลดการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในร่างกายอีกด้วย ลองหาวิธีคลายเครียดง่ายๆ อย่างการฟังเพลง ออกกำลังกาย หรือทำสมาธิ รับรองว่าทั้งใจและหลังจะสบายขึ้นแน่นอน

ปวดหลัง

วิธีแก้ ปวดหลัง สุดล้ำ ทำเองได้ที่บ้าน

เมื่อรู้สาเหตุแล้ว มาดูวิธีแก้ปวดหลังกันบ้างดีกว่า รับรองว่าทำตามนี้แล้วหลังจะโล่งสบายขึ้นแน่นอน

ยืดเส้นยืดสายให้สุดปัง

การยืดเส้นยืดสายเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดีมากในการบรรเทาอาการปวดหลัง ลองทำท่า “แมวโก่ง” ดูสิ โดยคุกเข่าลงบนพื้น แล้วโก่งหลังขึ้นเหมือนแมวยืดตัว จากนั้นแอ่นหลังลง ทำสลับกันไปมาประมาณ 10 ครั้ง รับรองว่าหลังจะรู้สึกดีขึ้นทันที

ท่า “แมวโก่ง” หรือ Cat-Cow Pose ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อรอบๆ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการหล่อลื่นของน้ำไขข้อในกระดูกสันหลัง ทำให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

หรือจะลองท่า “งูเห่า” ก็ได้ โดยนอนคว่ำลงบนพื้น แล้วใช้แขนดันตัวขึ้น ให้หน้าอกลอยจากพื้น แต่สะโพกยังติดพื้นอยู่ ค้างไว้สัก 5-10 วินาที แล้วกลับสู่ท่าเดิม ทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง ท่านี้จะช่วยยืดกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างได้ดีมาก

ข้อมูลทางสรีรวิทยาระบุว่า ท่า “งูเห่า” หรือ Cobra Pose ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ Erector Spinae ซึ่งเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อสำคัญที่ช่วยพยุงกระดูกสันหลัง นอกจากนี้ ท่านี้ยังช่วยลดแรงกดทับบนหมอนรองกระดูก โดยเฉพาะบริเวณ L4-L5 ซึ่งเป็นจุดที่มักเกิดปัญหาในคนที่นั่งนานๆ

นวดตัวเองแบบมืออาชีพ

ไม่ต้องไปหาหมอนวดให้เสียเงิน คุณก็นวดตัวเองได้ที่บ้าน ลองใช้ลูกเทนนิสหรือลูกกอล์ฟมานวดบริเวณที่ปวด โดยนอนทับลูกบอลไว้ แล้วค่อยๆ กลิ้งตัวไปมา เน้นบริเวณที่รู้สึกตึงหรือปวด ทำแบบนี้วันละ 5-10 นาที รับรองว่าอาการปวดจะทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด

การนวดด้วยตนเองแบบนี้ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองในบริเวณที่นวด ซึ่งช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้ นอกจากนี้ การนวดยังช่วยกระตุ้นการหลั่งสาร Endorphins ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ช่วยลดความเจ็บปวดและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

อาบน้ำอุ่นสุดผ่อนคลาย

อาบน้ำอุ่นไม่ใช่แค่ทำให้สะอาดเท่านั้น แต่ยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ด้วย ความอุ่นของน้ำจะช่วยคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตัว ลองแช่ตัวในอ่างน้ำอุ่นสัก 15-20 นาที หรือถ้าไม่มีอ่าง ก็ยืนใต้ฝักบัวน้ำอุ่นก็ได้ เน้นให้น้ำไหลผ่านบริเวณที่ปวด รับรองว่าหลังจากอาบน้ำเสร็จ คุณจะรู้สึกสบายตัวขึ้นอย่างแน่นอน

การแช่น้ำอุ่นที่อุณหภูมิประมาณ 40-45 องศาเซลเซียส ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อที่ปวด ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด (Vasodilation) ซึ่งช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและบรรเทาอาการปวดได้ นอกจากนี้ ความอุ่นยังช่วยกระตุ้นการหลั่งสาร Endorphins ซึ่งเป็นยาแก้ปวดตามธรรมชาติของร่างกาย

ออกกำลังกายแบบเบาๆ

หลายคนคิดว่าเมื่อ ปวดหลัง ต้องนอนพัก แต่จริงๆ แล้วการเคลื่อนไหวเบาๆ จะช่วยได้มากกว่า ลองเดินเล่นรอบๆ บ้านหรือในสวนสาธารณะใกล้บ้านดูสิ การเดินจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้กล้ามเนื้อได้รับออกซิเจนมากขึ้น ช่วยลดอาการปวดได้ แต่อย่าลืมเดินในท่าที่ถูกต้องนะ หลังตรง ไหล่ผ่อนคลาย ก้าวเท้าพอดีๆ ไม่ยาวหรือสั้นเกินไป

การเดินเป็นเวลา 30 นาทีต่อวัน สามารถลดอาการปวดหลังได้ถึง 50% ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง การเดินช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core muscles) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพยุงกระดูกสันหลัง นอกจากนี้ การเดินยังช่วยกระตุ้นการหลั่งสาร Endorphins ซึ่งช่วยลดความเจ็บปวดและเพิ่มความรู้สึกเป็นสุข

กินอาหารต้านการอักเสบ

อาหารที่คุณกินก็มีผลต่ออาการปวดหลังเหมือนกันนะ ลองเพิ่มอาหารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบในมื้ออาหารดูสิ เช่น ปลาแซลมอน ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม บล็อกโคลี่ ถั่วต่างๆ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อาหารเหล่านี้จะช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการปวดหลัง

อาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และเมล็ดเจีย มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ โดยช่วยลดการผลิตสารก่อการอักเสบในร่างกาย เช่น Prostaglandins และ Cytokines นอกจากนี้ ผักใบเขียวและผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี และสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยลดความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากการอักเสบ

นอนให้ถูกท่า

การนอนในท่าที่ถูกต้องก็สำคัญไม่แพ้กัน ลองนอนตะแคงโดยเอาหมอนรองระหว่างเข่าดูสิ หรือถ้าชอบนอนหงาย ให้เอาหมอนรองใต้เข่าเพื่อช่วยรักษาความโค้งตามธรรมชาติของกระดูกสันหลัง วิธีนี้จะช่วยลดแรงกดทับบนหลังส่วนล่าง ทำให้คุณนอนหลับสบายขึ้น และตื่นมาแบบไม่ปวดหลังแน่นอน

การนอนตะแคงโดยมีหมอนรองระหว่างเข่าช่วยรักษาแนวกระดูกสันหลังให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ลดแรงกดทับบนหมอนรองกระดูกและเส้นประสาท ส่วนการนอนหงายโดยมีหมอนรองใต้เข่าช่วยลดแรงดึงของกล้ามเนื้อ Psoas ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่เชื่อมต่อกระดูกสันหลังกับขา ช่วยลดอาการปวดหลังส่วนล่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สัญญาณอันตรายที่บอกว่าคุณควรไปหาหมอด่วน

บางครั้งอาการ ปวดหลัง ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่เราจะรักษาเองได้ มาดูกันว่ามีสัญญาณอะไรบ้างที่บอกว่าคุณควรไปพบแพทย์โดยด่วน

  1. ปวดร้าวลงขา: ถ้าคุณรู้สึกปวดหรือชาร้าวลงไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าปวดร้าวไปถึงเท้า นี่อาจเป็นสัญญาณของภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Herniated disc) ซึ่งต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาจากแพทย์ ภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเกิดจากการที่เนื้อเยื่อนุ่มภายในหมอนรองกระดูกดันออกมากดทับเส้นประสาท Sciatic ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำให้เกิดอาการปวดร้าว ชา หรือ อ่อนแรงตามแนวของเส้นประสาทที่ถูกกดทับ
  2. ปวดร่วมกับมีไข้: ถ้าคุณมีอาการปวดหลังร่วมกับมีไข้สูง นี่อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในกระดูกสันหลังหรือไขสันหลัง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน การติดเชื้อในกระดูกสันหลัง (Vertebral Osteomyelitis) หรือการติดเชื้อในไขสันหลัง (Spinal Meningitis) เป็นภาวะที่อันตรายและต้องการการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างเร่งด่วน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น อัมพาตหรือเสียชีวิตได้
  3. ปวดหลังร่วมกับปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ออก: ถ้าคุณมีอาการปวดหลังร่วมกับมีปัญหาในการควบคุมการขับถ่าย นี่อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Cauda Equina Syndrome ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางประสาทวิทยาที่ต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน Cauda Equina Syndrome เกิดจากการกดทับของเส้นประสาทกลุ่มสุดท้ายของไขสันหลัง ซึ่งควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ และอวัยวะเพศ หากไม่ได้รับการรักษาภายใน 48 ชั่วโมง อาจทำให้เกิดความเสียหายถาวรต่อระบบประสาท ส่งผลให้สูญเสียการควบคุมการขับถ่ายอย่างถาวรได้
  1. ปวดหลังรุนแรงหลังจากได้รับอุบัติเหตุ: ถ้าคุณมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงหลังจากตกจากที่สูงหรือประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจมีการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังหรือเนื้อเยื่อรอบๆ การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุอาจทำให้เกิดกระดูกสันหลังแตกหัก (Vertebral Fracture) หรือการฉีกขาดของเอ็นและกล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลัง ซึ่งต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยด้วยภาพถ่ายรังสีหรือ MRI และอาจต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดในบางกรณี
  2. ปวดหลังร่วมกับน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ: ถ้าคุณมีอาการปวดหลังเรื้อรังร่วมกับการลดลงของน้ำหนักตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ นี่อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งกระดูกสันหลังหรือมะเร็งที่แพร่กระจายมาที่กระดูกสันหลัง มะเร็งกระดูกสันหลัง (Spinal Metastasis) มักมาพร้อมกับอาการปวดหลังที่แย่ลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ร่วมกับการลดลงของน้ำหนักตัวและความอ่อนเพลีย การตรวจวินิจฉัยด้วย MRI และการตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) มีความสำคัญอย่างยิ่งในการยืนยันการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา
อาการปวดหลัง

สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่าการ ปวดหลัง เป็นเรื่องที่พบได้บ่อย และส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ถ้าคุณมีอาการที่กล่าวมาข้างต้น หรือรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับอาการของตัวเอง ก็ไม่ควรลังเลที่จะไปพบแพทย์ เพราะการรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาวได้

ติดตามข่าวสารล่าสุด โปรโมชั่นและเคล็ดลับดีๆที่ช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น จาก bTaskee

The application is currently deployed in Thailand Vietnam

download-asker-btaskee-ver-3

Book a home cleaning task
right away

Download, register and experience exciting features only available on bTaskee App – On-demand Home Services