“ออฟฟิศซินโดรม” ปัญหาสุขภาพยอดฮิตของคนทำงานยุคดิจิทัล! แต่รู้หรือไม่ว่า ออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่แค่อาการปวดเมื่อยธรรมดา แต่อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงได้ถ้าไม่ใส่ใจ วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับออฟฟิศซินโดรมให้ลึกซึ้ง ตั้งแต่นิยาม ไปจนถึงโรคร้ายที่อาจตามมา
ออฟฟิศซินโดรม คืออะไร
ออฟฟิศซินโดรม หรือที่หลายคนเรียกว่า “โรคคนทำงานออฟฟิศ” ไม่ใช่โรคที่มีการวินิจฉัยทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ แต่เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มอาการต่างๆ ที่เกิดจากการทำงานในสำนักงานเป็นเวลานาน โดยเฉพาะการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์
ในทางการแพทย์ ออฟฟิศซินโดรมจัดอยู่ในกลุ่มของ Musculoskeletal Disorders (MSDs) หรือความผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้งานร่างกายซ้ำๆ ในท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน
อาการของออฟฟิศซินโดรมมักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบต่างๆ ในร่างกาย ได้แก่
- ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก (Musculoskeletal System) เช่น อาการปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง และข้อมือ
- ระบบประสาท (Nervous System) เช่น อาการชาตามแขนและมือ
- ระบบการมองเห็น (Visual System) เช่น อาการตาแห้ง ตาล้า
- ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulatory System) เช่น อาการบวมที่ขาและเท้า
สาเหตุหลักของออฟฟิศซินโดรมเกิดจากการทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสม (Poor Ergonomics) เป็นเวลานาน ซึ่งนำไปสู่ภาวะ Repetitive Strain Injury (RSI) หรือการบาดเจ็บจากการใช้งานซ้ำๆ นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดออฟฟิศซินโดรม ได้แก่
- การขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย (Sedentary Lifestyle)
- ความเครียดจากการทำงาน (Work-related Stress)
- สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น แสงสว่างไม่เพียงพอ อุณหภูมิไม่เหมาะสม
สถิติของออฟฟิศซินโดรมทั้งในไทยและต่างประเทศ
ออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่ปัญหาเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาระดับโลกที่พบได้ในทุกประเทศที่มีการทำงานในสำนักงานเป็นหลัก มาดูสถิติที่น่าสนใจกัน
ในประเทศไทย
- จากการสำรวจของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าคนทำงานออฟฟิศในประเทศไทยกว่า 60% มีอาการของออฟฟิศซินโดรม
- โรงพยาบาลกรุงเทพ รายงานว่าผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับออฟฟิศซินโดรมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 15-20% ต่อปี
- สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ พบว่า 80% ของคนทำงานออฟฟิศมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ อย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์
ในต่างประเทศ
- องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า 60-70% ของคนทำงานในประเทศพัฒนาแล้วมีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์
- ในสหรัฐอเมริกา สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) รายงานว่า 33% ของการบาดเจ็บและเจ็บป่วยในที่ทำงานเกี่ยวข้องกับ Musculoskeletal Disorders
- ในสหราชอาณาจักร การสำรวจโดย Health and Safety Executive พบว่า 40% ของการลาป่วยของพนักงานมีสาเหตุมาจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับออฟฟิศซินโดรม
- ในออสเตรเลีย รายงานจาก Safe Work Australia แสดงให้เห็นว่า 55% ของการเรียกร้องค่าชดเชยจากการบาดเจ็บในที่ทำงานเกี่ยวข้องกับ Musculoskeletal Disorders
สถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าออฟฟิศซินโดรมเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจของออฟฟิศซินโดรม
- ในสหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ Musculoskeletal Disorders ในที่ทำงานสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
- ในยุโรป ต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เกิดจาก Work-related Musculoskeletal Disorders คิดเป็น 2% ของ GDP
สถิติเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่เพียงปัญหาสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับประเทศด้วย การให้ความสำคัญกับการป้องกันและจัดการปัญหานี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ
อาการ ออฟฟิศซินโดรม แบบไหนที่อันตรายและควรพบแพทย์
แม้ว่าอาการของออฟฟิศซินโดรมส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ก็มีบางอาการที่ควรระวังและควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ต่อไปนี้คืออาการที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ
- อาการชาหรืออ่อนแรงที่แขนหรือขา หากมีอาการชาหรืออ่อนแรงที่แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Cervical Radiculopathy หรือรากประสาทที่คอถูกกดทับ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาระบบประสาทที่รุนแรงได้ หากปล่อยไว้นาน
- ปวดศีรษะรุนแรงผิดปกติ อาการปวดศีรษะที่รุนแรงผิดปกติ โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นอย่างฉับพลันหรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Intracranial Hypertension หรือความดันในกะโหลกศีรษะสูง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
- ปวดหน้าอกร่วมกับหายใจลำบาก อาการปวดหน้าอกที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะถ้ามีอาการหายใจลำบากร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Pulmonary Embolism หรือลิ่มเลือดอุดตันในปอด ซึ่งเป็นผลแทรกซ้อนที่อันตรายจากการนั่งนานๆ
- ปวดขาร่วมกับบวมแดง อาการปวดขาที่มีอาการบวมแดงร่วมด้วย โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นข้างเดียว อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Deep Vein Thrombosis หรือลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายและอาจนำไปสู่ Pulmonary Embolism ได้
- ปวดหลังรุนแรงร่วมกับกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ อาการปวดหลังที่รุนแรงผิดปกติ โดยเฉพาะถ้ามีอาการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Cauda Equina Syndrome หรือกลุ่มรากประสาทบริเวณก้นกบถูกกดทับอย่างรุนแรง ซึ่งต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน
- ตามัวหรือมองเห็นภาพซ้อนอย่างฉับพลัน อาการตามัวหรือมองเห็นภาพซ้อนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางระบบประสาทตา เช่น Optic Neuritis หรือเส้นประสาทตาอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที
- ปวดข้อมือร่วมกับชาและอ่อนแรงที่นิ้วมือ อาการปวดข้อมือที่รุนแรง โดยเฉพาะถ้ามีอาการชาและอ่อนแรงที่นิ้วมือร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Carpal Tunnel Syndrome ในระยะรุนแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดการสูญเสียการทำงานของมืออย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการรักษา
- ปวดคอรุนแรงร่วมกับไข้สูง อาการปวดคอที่รุนแรงผิดปกติ โดยเฉพาะถ้ามีไข้สูงร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Cervical Spondylodiscitis หรือการติดเชื้อที่กระดูกสันหลังส่วนคอ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายและต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างเร่งด่วน
- ปวดศีรษะร่วมกับตาพร่ามัวเฉพาะครึ่งซีก อาการปวดศีรษะที่รุนแรง โดยเฉพาะถ้ามีอาการตาพร่ามัวเฉพาะครึ่งซีกร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Retinal Migraine หรือไมเกรนที่ส่งผลต่อจอประสาทตา ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นชั่วคราวหรือถาวรได้
- อาการทางจิตใจที่รุนแรง แม้ว่าความเครียดจะเป็นอาการปกติของออฟฟิศซินโดรม แต่หากมีอาการทางจิตใจที่รุนแรง เช่น ซึมเศร้าอย่างหนัก วิตกกังวลจนไม่สามารถทำงานได้ หรือมีความคิดทำร้ายตัวเอง ควรพบจิตแพทย์โดยด่วน เพื่อป้องกันภาวะ Major Depressive Disorder หรือโรคซึมเศร้ารุนแรง
การสังเกตอาการเหล่านี้และพบแพทย์ทันทีเมื่อพบความผิดปกติ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อย่าละเลยหรือมองข้ามอาการผิดปกติเหล่านี้ เพราะการรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการหายและลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว