ออฟฟิศซินโดรม อันตรายไหม? แบบไหนควรไปพบแพทย์

Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest
Share on linkedin
Share on email
ออฟฟิสซินโดรม
Share
Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest
Share on linkedin
Share on email

“ออฟฟิศซินโดรม” ปัญหาสุขภาพยอดฮิตของคนทำงานยุคดิจิทัล! แต่รู้หรือไม่ว่า ออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่แค่อาการปวดเมื่อยธรรมดา แต่อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงได้ถ้าไม่ใส่ใจ วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับออฟฟิศซินโดรมให้ลึกซึ้ง ตั้งแต่นิยาม ไปจนถึงโรคร้ายที่อาจตามมา

ออฟฟิศซินโดรม คืออะไร

ออฟฟิศซินโดรม หรือที่หลายคนเรียกว่า “โรคคนทำงานออฟฟิศ” ไม่ใช่โรคที่มีการวินิจฉัยทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ แต่เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มอาการต่างๆ ที่เกิดจากการทำงานในสำนักงานเป็นเวลานาน โดยเฉพาะการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์

ในทางการแพทย์ ออฟฟิศซินโดรมจัดอยู่ในกลุ่มของ Musculoskeletal Disorders (MSDs) หรือความผิดปกติของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้งานร่างกายซ้ำๆ ในท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน

อาการของออฟฟิศซินโดรมมักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบต่างๆ ในร่างกาย ได้แก่

  1. ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก (Musculoskeletal System) เช่น อาการปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง และข้อมือ
  2. ระบบประสาท (Nervous System) เช่น อาการชาตามแขนและมือ
  3. ระบบการมองเห็น (Visual System) เช่น อาการตาแห้ง ตาล้า
  4. ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulatory System) เช่น อาการบวมที่ขาและเท้า

สาเหตุหลักของออฟฟิศซินโดรมเกิดจากการทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสม (Poor Ergonomics) เป็นเวลานาน ซึ่งนำไปสู่ภาวะ Repetitive Strain Injury (RSI) หรือการบาดเจ็บจากการใช้งานซ้ำๆ นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดออฟฟิศซินโดรม ได้แก่

  • การขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย (Sedentary Lifestyle)
  • ความเครียดจากการทำงาน (Work-related Stress)
  • สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น แสงสว่างไม่เพียงพอ อุณหภูมิไม่เหมาะสม
ออฟฟิศซินโดรม ปวดไหล่

สถิติของออฟฟิศซินโดรมทั้งในไทยและต่างประเทศ

ออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่ปัญหาเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาระดับโลกที่พบได้ในทุกประเทศที่มีการทำงานในสำนักงานเป็นหลัก มาดูสถิติที่น่าสนใจกัน

ในประเทศไทย

  • จากการสำรวจของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าคนทำงานออฟฟิศในประเทศไทยกว่า 60% มีอาการของออฟฟิศซินโดรม
  • โรงพยาบาลกรุงเทพ รายงานว่าผู้ป่วยที่มีอาการเกี่ยวกับออฟฟิศซินโดรมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 15-20% ต่อปี
  • สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ พบว่า 80% ของคนทำงานออฟฟิศมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ อย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์

ในต่างประเทศ

  • องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า 60-70% ของคนทำงานในประเทศพัฒนาแล้วมีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์
  • ในสหรัฐอเมริกา สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) รายงานว่า 33% ของการบาดเจ็บและเจ็บป่วยในที่ทำงานเกี่ยวข้องกับ Musculoskeletal Disorders
  • ในสหราชอาณาจักร การสำรวจโดย Health and Safety Executive พบว่า 40% ของการลาป่วยของพนักงานมีสาเหตุมาจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับออฟฟิศซินโดรม
  • ในออสเตรเลีย รายงานจาก Safe Work Australia แสดงให้เห็นว่า 55% ของการเรียกร้องค่าชดเชยจากการบาดเจ็บในที่ทำงานเกี่ยวข้องกับ Musculoskeletal Disorders

สถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าออฟฟิศซินโดรมเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจของออฟฟิศซินโดรม

  • ในสหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ Musculoskeletal Disorders ในที่ทำงานสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
  • ในยุโรป ต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เกิดจาก Work-related Musculoskeletal Disorders คิดเป็น 2% ของ GDP

สถิติเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่เพียงปัญหาสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับประเทศด้วย การให้ความสำคัญกับการป้องกันและจัดการปัญหานี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ

ออฟฟิศซินโดรม ปวดข้อมือ

อาการ ออฟฟิศซินโดรม แบบไหนที่อันตรายและควรพบแพทย์

แม้ว่าอาการของออฟฟิศซินโดรมส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ก็มีบางอาการที่ควรระวังและควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ต่อไปนี้คืออาการที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ

  1. อาการชาหรืออ่อนแรงที่แขนหรือขา หากมีอาการชาหรืออ่อนแรงที่แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Cervical Radiculopathy หรือรากประสาทที่คอถูกกดทับ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาระบบประสาทที่รุนแรงได้ หากปล่อยไว้นาน
  2. ปวดศีรษะรุนแรงผิดปกติ อาการปวดศีรษะที่รุนแรงผิดปกติ โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นอย่างฉับพลันหรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัว อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Intracranial Hypertension หรือความดันในกะโหลกศีรษะสูง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
  3. ปวดหน้าอกร่วมกับหายใจลำบาก อาการปวดหน้าอกที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะถ้ามีอาการหายใจลำบากร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Pulmonary Embolism หรือลิ่มเลือดอุดตันในปอด ซึ่งเป็นผลแทรกซ้อนที่อันตรายจากการนั่งนานๆ
  4. ปวดขาร่วมกับบวมแดง อาการปวดขาที่มีอาการบวมแดงร่วมด้วย โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นข้างเดียว อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Deep Vein Thrombosis หรือลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายและอาจนำไปสู่ Pulmonary Embolism ได้
  5. ปวดหลังรุนแรงร่วมกับกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ อาการปวดหลังที่รุนแรงผิดปกติ โดยเฉพาะถ้ามีอาการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Cauda Equina Syndrome หรือกลุ่มรากประสาทบริเวณก้นกบถูกกดทับอย่างรุนแรง ซึ่งต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วน 
  6. ตามัวหรือมองเห็นภาพซ้อนอย่างฉับพลัน อาการตามัวหรือมองเห็นภาพซ้อนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน อาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางระบบประสาทตา เช่น Optic Neuritis หรือเส้นประสาทตาอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที 
  7. ปวดข้อมือร่วมกับชาและอ่อนแรงที่นิ้วมือ อาการปวดข้อมือที่รุนแรง โดยเฉพาะถ้ามีอาการชาและอ่อนแรงที่นิ้วมือร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Carpal Tunnel Syndrome ในระยะรุนแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดการสูญเสียการทำงานของมืออย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการรักษา 
  8. ปวดคอรุนแรงร่วมกับไข้สูง อาการปวดคอที่รุนแรงผิดปกติ โดยเฉพาะถ้ามีไข้สูงร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Cervical Spondylodiscitis หรือการติดเชื้อที่กระดูกสันหลังส่วนคอ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายและต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างเร่งด่วน 
  9. ปวดศีรษะร่วมกับตาพร่ามัวเฉพาะครึ่งซีก อาการปวดศีรษะที่รุนแรง โดยเฉพาะถ้ามีอาการตาพร่ามัวเฉพาะครึ่งซีกร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะ Retinal Migraine หรือไมเกรนที่ส่งผลต่อจอประสาทตา ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นชั่วคราวหรือถาวรได้ 
  10. อาการทางจิตใจที่รุนแรง แม้ว่าความเครียดจะเป็นอาการปกติของออฟฟิศซินโดรม แต่หากมีอาการทางจิตใจที่รุนแรง เช่น ซึมเศร้าอย่างหนัก วิตกกังวลจนไม่สามารถทำงานได้ หรือมีความคิดทำร้ายตัวเอง ควรพบจิตแพทย์โดยด่วน เพื่อป้องกันภาวะ Major Depressive Disorder หรือโรคซึมเศร้ารุนแรง

การสังเกตอาการเหล่านี้และพบแพทย์ทันทีเมื่อพบความผิดปกติ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อย่าละเลยหรือมองข้ามอาการผิดปกติเหล่านี้ เพราะการรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการหายและลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว

ติดตามข่าวสารล่าสุด โปรโมชั่นและเคล็ดลับดีๆที่ช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น จาก bTaskee

The application is currently deployed in Thailand Vietnam

download-asker-btaskee-ver-3

Book a home cleaning task
right away

Download, register and experience exciting features only available on bTaskee App – On-demand Home Services