เติมน้ำยาแอร์ ราคาเท่าไหร่ ดูค่าใช้จ่ายในการล้างแอร์

Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest
Share on linkedin
Share on email
เติมน้ำยาแอร์ ราคาเท่าไหร่ ดูค่าใช้จ่ายในการล้างแอร์
Share
Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest
Share on linkedin
Share on email

แอร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้ายอดนิยมอย่างหนึ่งที่ในปัจจุบันแพร่หลายเป็นอย่างมาก ทำให้แอร์นั้นแทบจะถูกติดตั้งอยู่ในบ้านทุก ๆ หลัง และอาคารสำนักงานต่าง ๆ ซึ่งเมื่อใช้งานแอร์ไปในระยะเวลาหนึ่ง การล้างแอร์และเติมน้ำยาแอร์ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่ว่าทำไมเราถึงจำเป็นต้องเติมน้ำยาแอร์ แล้วการเติมน้ำยาแอร์ ราคาเท่าไหร่ ดูค่าใช้จ่ายในการล้างแอร์นั้นมีราคาเท่าไหร่ มาหาคำตอบในบทความนี้ของ bTaskee กัน

ค่าบริการเติมน้ำยาแอร์

ทำไมเราต้องเติมน้ำยาแอร์

ต้องบอกก่อนว่า เครื่องปรับอากาศอย่างแอร์นั้น ประกอบด้วย 3 ส่วนที่สำคัญต่อการทำงาน ได้แก่

ซึ่งทั้งหมดนั้นจะทำงานร่วมกัน เพื่อให้เครื่องปรับอากาศทำความเย็นได้ ซึ่งส่วนประกอบภายนอกทั้ง 3 นี้ จะช่วยให้เครื่องปรับอากาศให้ความเย็นในวงกว้างได้มากกว่าตู้เย็น โดยใช้สารให้ความเย็นที่เรียกง่าย ๆ ว่า น้ำยาแอร์ โดยเปลี่ยนให้อากาศร้อนจากภายนอกเป็นของเหลว ก่อนจะกลายเป็นอากาศเย็นภายในห้อง

การเติมน้ำยาแอร์ จึงเป็นการเพิ่มปริมาณสารทำความเย็นให้กับเครื่องปรับอากาศ

โดยที่คอมเพรสเซอร์จะเปลี่ยนอากาศภายนอกที่มีความดันต่ำ และเปลี่ยนเป็นของเหลวด้วยความดันสูง  ซึ่งของเหลวนี้จะเข้าสู่คอนเดนซิ่ง ในส่วนนี้จะทำหน้าที่เป็นฟิลเตอร์ เพื่อกรองเอาความร้อนออกจากของเหลวโดยไม่ทำให้ระเหย และของเหลวนั้นจะเคลื่อนไปที่ส่วนควบคุมการระเหย เป็นส่วนที่อยู่ในบ้าน โดยส่วนนี้ จะเป็นของเหลวที่ทำให้เป็นอากาศที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศนั้นเย็นนั่นเอง

ฉะนั้น การเติมน้ำยาแอร์ จึงเป็นการเพิ่มปริมาณสารทำความเย็นให้กับเครื่องปรับอากาศ ในกรณีที่น้ำยามีจำนวนน้อยหรือหมด ก็จะส่งผลทำให้เครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ในบางครั้ง แอร์อาจจะเหมือนทำงานได้ดีแต่ก็จะไม่เย็นเหมือนเดิมอีกด้วย

ประเภทของน้ำยาแอร์ในปัจจุบัน

1. สารทำความเย็นชนิด R12

เป็นสารทำความเย็นชนิดแรกที่ได้ถูกผลิตขึ้นเมื่อปี 1970 ใช้ทั้งกับเครื่องปรับอากาศอย่างแอร์ ตู้เย็น เครื่องทำน้ำแข็ง และอุปกรณ์ทำความเย็นอีกหลายประเภท แต่ว่าน้ำยาแอร์ชนิด R12 ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ชั้นโอโซนถูกทำลาย และมีผลกระทบต่อก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย ทำให้สารทำความเย็นชนิดนี้ถูกสั่งเลิกผลิตไป

2. สารทำความเย็นชนิด R22

เป็นสารทำความเย็นที่ถูกผลิตขึ้น เพื่อมาทดแทนน้ำยาแอร์ชนิด R12 จากการที่ตัวน้ำยาเองมีการส่งผลกระทบต่อสภาวะโลกร้อน ซึ่งสาร R12 ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า แต่ก็ยังมีผลเสียอยู่ สำหรับประเทศไทยนั้น ยังมีแอร์จำนวนมากที่ใช้น้ำยาแอร์ชนิดนี้อยู่ และนิยมใช้ในแอร์บ้านทั่วไปเนื่องจากราคาที่ถูก

3. สารทำความเย็นชนิด R32

เป็นสารทำความเย็นที่ถูกพัฒนามาเพื่อทดแทนชนิด R22 มีข้อดีคือไม่ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศ แต่ก็มีราคาสูงเช่นกัน จึงไม่เป็นที่แพร่หลายเท่าไหร่นัก

4. สารทำความเย็นชนิด R410A

เป็นสารทำความเย็นรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และช่วยลดการเกิดก๊าซเรื่อนกระจก ซึ่งประหยัดพลังงานมากที่สุดและราคายังถูกกว่า แต่สามารถติดไฟได้ จึงต้องใช้ความระมัดระวังและความชำนาญในการใช้งาน

เติมน้ำยาแอร์ ราคาเท่าไหร่กันนะ

เติมน้ำยาแอร์ ราคาเท่าไหร่ คิดยังไง

ราคาค่าบริการในการเติมสารทำความเย็น โดยทั่วไปแล้วหากเป็นการเติมสารทำความเย็นในภายหลัง มักจะคิดราคาในรูปแบบเป็น ราคาบาทต่อปอนด์ ซึ่งนี่คือรูปแบบหนึ่งของการคิดราคาค่าน้ำยาที่รวมค่าบริการแล้ว สำหรับอีกแบบหนึ่ง เป็นรูปแบบของการเหมาจ่าย ที่จะรวมค่าน้ำยาและค่าบริการแล้ว เช่น ครั้งละ 300 บาท เป็นต้น

โดยการคิดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำยาแอร์ ราคาเท่าไหร่ในรูปแบบราคาบาทต่อปอนด์ เป็นวิธีการที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะเป็นวิธีที่สะดวก และใช้เครื่องมือไม่มาก ทำให้ไม่ยุ่งยากหรือลำบากในการปฏิบัติงานในพื้นที่จำกัด ซึ่งการคิดราคาที่ใช้คำเรียกกันว่าราคาต่อปอนด์ คำเรียกดังกล่าวนั้น มาจากคำในหน่วยวัดปอนด์ต่อตารางนิ้วเกจ PSIG ซึ่งเป็นค่าแรงดันสารทำความเย็นที่อ่านได้ จากหน้าปัดของเกจแมนิโฟลด์ และเป็นค่าที่นำมาใช้คิดค่าบริการเติมสารทำความเย็นของแอร์ 

จริงอยู่ที่ค่าดังกล่าวเป็นค่าของแรงดัน ไม่ใช่ค่าของจำนวนปริมาตร เหมือนกับที่ใช้ในการชั่งตวงวัดปริมาณของวัตถุอื่นที่ซื้อขายกันทั่วไป แต่ค่าแรงดันนี้เอง ก็สามารถบอกถึงปริมาณสารทำความเย็นได้ เพราะถ้าสารทำความเย็นในระบบมีไม่เพียงพอ แรงดันที่วัดจากท่อทางดูด ขณะเครื่องทำงานก็จะขึ้นมาไม่ถึงค่ามาตรฐาน

อยากรู้เติมน้ำยาแอร์ ราคาเท่าไหร่ เช็คง่าย ๆ ได้ที่ bTaskee

ราคาค่าบริการในการเติมสารทำความเย็น

บริการล้างแอร์ใกล้ฉันในแอปพลิเคชัน bTaskee ของเรา มีการคิดค่าบริการที่แน่นอนเอาไว้เรียบร้อยแล้วสำหรับแอร์ประเภทต่าง ๆ โดยสามารถแบ่งได้ตามนี้

ค่าบริการล้างแอร์บ้านแบบติดผนัง

  • แอร์ขนาด 9,000 – 18,000 BTU ราคา 700 บาท
  • แอร์ขนาด 18,001 – 26,000 BTU ราคา 800 บาท
  • แอร์ขนาด 26,001 – 36,000 BTU ราคา 900 บาท
  • แอร์ขนาด 36,001 – 48,000 BTU ราคา 1,000 บาท

ค่าบริการล้างแอร์บ้านแบบแขวน หรือตั้งพื้น

  • แอร์ขนาด 18,000 – 26,000 BTU ราคา 700 บาท
  • แอร์ขนาด 26,001 – 36,000 BTU ราคา 800 บาท
  • แอร์ขนาด 36,001 – 48,000 BTU ราคา 900 บาท
  • แอร์ขนาด 48,001 – 60,000 BTU ราคา 1,000 บาท

ค่าบริการล้างแอร์บ้านแบบ 4 ทิศทาง

  • แอร์ขนาด 9,000 – 26,000 BTU ราคา 1,200 บาท
  • แอร์ขนาด 26,001 – 44,000 BTU ราคา 1,300 บาท
  • แอร์ขนาด 44,001 – 60,000 BTU ราคา 1,400 บาท

ค่าบริการล้างแอร์บ้านแบบฝังเพดาน

  • แอร์ขนาด 9,000 – 20,000 BTU ราคา 1,400 บาท
  • แอร์ขนาด 20,001 – 28,000 BTU ราคา 1,500 บาท
  • แอร์ขนาด 28,001 – 36,000 BTU ราคา 1,600 บาท
  • แอร์ขนาด 36,001 – 60,000 BTU ราคา 1,700 บาท

โดยราคาล้างแอร์บ้านนั้น จะแตกต่างกันไปในแต่ละชนิดของเครื่องปรับอากาศ ส่วนราคาสำหรับเติมน้ำยาแอร์ จะเริ่มต้นที่ 30 ถึง 40 บาท ต่อปอนด์ ทั้งนี้ราคาจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและประเภทที่เลือกใช้นั่นเอง 

หากใช้บริการล้างทำความสะอาดแอร์ของ bTaskee เรามีบริการรับประกันการซ่อมบำรุงภายใน 7 วัน หลังการใช้บริการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 

สำหรับค่าบริการล้างแอร์ อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับสถานที่ ช่วงเวลาให้บริการ และวันหยุด สามารถตรวจสอบราคาที่แน่นอนได้ผ่านแอปพลิเคชัน bTaskee โดยตรง

การล้างแอร์ทุก ๆ 6 เดือน จะช่วยยืดอายุของการใช้งานแอร์ออกไป ทำให้แอร์สร้างความเย็นได้เร็ว และกรองอากาศที่สะอาดมากยิ่งขึ้น

หากใครต้องการใช้งานบริการล้างแอร์จากช่างผู้เชี่ยวชาญผ่านแอปพลิเคชัน bTaskee สามารถทำได้ด้วยตนเองได้ง่าย เพียง 4 ขั้นตอน ดังนี้

  1. กดเลือกบริการ “ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ”
  2. กรอกรายละเอียดการจองงาน (สถานที่, ประเภทของเครื่องปรับอากาศ, จำนวน เป็นต้น)
  3. เลือกวันและเวลาที่ต้องการใช้บริการ
  4. ยืนยันและชำระเงิน

ซึ่งในปัจจุบัน bTaskee ให้บริการล้างแอร์บ้านในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น และสำหรับการเติมน้ำยาแอร์ ผู้ให้บริการจะมีการประเมินหน้างานว่าต้องเติมน้ำยาหรือไม่ โดยลูกค้าสามารถชำระส่วนต่างค่าเติมน้ำยาแอร์กับผู้ให้บริการได้โดยตรง

และทางเราขอแนะนำว่า เครื่องปรับอากาศควรได้รับการดูแลทุก ๆ 6 เดือน นับจากการทำความสะอาดครั้งล่าสุด ทั้งนี้ความถี่ในการทำความสะอาด ขึ้นอยู่กับปัจจัยการใช้งาน และสถานที่การใช้งานอีกด้วย เช่น

  • การใช้งานในครอบครัว : ควรล้างแอร์ ทุก ๆ 3 ถึง 4 เดือน (หากคุณใช้งานเกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน) และทุก 6 เดือน (หากคุณใช้งานประมาณ 6 ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน)
  • การใช้งานสถานที่ทำงานและโรงแรม : ควรล้างแอร์ ทุก ๆ 3 เดือนต่อครั้ง
  • การใช้งานในอุตสาหกรรม : ควรล้างแอร์ ทุก ๆ 1 เดือน

สรุป

บริการล้างแอร์ทุก ๆ 6 เดือน จะช่วยยืดอายุของการใช้งานแอร์ออกไป ทำให้แอร์สร้างความเย็นได้เร็ว และกรองอากาศที่สะอาดมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาสุขอนามัยภายในบ้านอีกทางหนึ่ง ส่วนการเติมน้ำยาแอร์เอง ก็ควรทำหลังจากที่ใช้งานไปประมาณ 5 ปี เนื่องจากน้ำยาแอร์เหล่านี้ไม่ได้สลายหายไปได้ง่าย ๆ นอกจากมีการรั่วซึม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการประเมินของช่างผู้เชี่ยวชาญ

และหากใครที่กังวลว่าจะหาช่างแอร์ที่ไว้ใจได้มาช่วยล้างแอร์ และแนะนำว่าควรเติมน้ำยาแอร์หรือไม่ บริษัททำความสะอาด bTaskee สามารถตอบโจทย์นั้นของคุณได้อย่างแน่นอน ด้วยช่างผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการคัดสรรมาจากเรา รับประกันได้เลยว่าคุณจะหมดกังวลว่าจะถูกโกงถูกหลอก ทั้งยังจองช่างได้ง่าย และได้ใกล้ที่ ๆ คุณอยู่อีกด้วยนั่นเอง

ติดตามข่าวสารล่าสุด โปรโมชั่นและเคล็ดลับดีๆที่ช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น จาก bTaskee

The application is currently deployed in Thailand Vietnam

download-asker-btaskee-ver-3

Book a home cleaning task
right away

Download, register and experience exciting features only available on bTaskee App – On-demand Home Services