น้ำผึ้ง เป็นผลผลิตจากเกสรดอกไม้ที่ผึ้งนำมาเก็บสะสม และผ่านกระบวนการธรรมชาติภายในรังผึ้ง จนเกิดเป็นน้ำหวานที่มีสีเหลืองทอง มีกลิ่นหอม พร้อมรสชาติหวานกำลังดี เราสามารถนำไปปรุงอาหาร ไม่ว่าจะเป็นทั้งเมนูคาว เมนูหวาน และเครื่องดื่ม ประโยชน์ของน้ำผึ้งยังมีอีกมากมายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง เพราะในน้ำผึ้งมีทั้ง วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 กรดโฟลิค วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ทองแดง และสังกะสี เป็นต้น วันนี้ bTaskee จะมาบอกประโยชน์ของน้ำผึ้งว่ามีอะไรบ้าง และควรใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
1.แก้เจ็บคอและแก้ไอ
เมื่อเป็นหวัด การทานน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว เป็นประจำทุกเช้า หรือก่อนนอนจะช่วยให้อาการหวัดหายเร็วขึ้น หรือในคนที่มีอาการไอ และเจ็บคอร่วมด้วย การจิบน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งบ่อยๆ ก็จะช่วยลดอาการไอได้ดีเหมือนกัน น้ำผึ้งที่มีความเหนียวข้นจะเคลือบภายในช่องปากและลำคอให้ลดการระคายเคือง รวมถึงการป้องกันการติดเชื้อบริเวณลำคอ และจะเห็นผลได้ดีสุดในเด็กอายุ 2 ปี ขึ้นไป
2.ใช้แทนน้ำตาล
น้ำผึ้งสามารถนำมาเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล น้ำผึ้งแท้จะประกอบด้วยน้ำตาลแท้ ที่สำคัญน้ำตาลในธรรมชาติที่พบในน้ำผึ้งจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด โดยจะไม่ทำให้คุณอ้วนและเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานอีกด้วย
3.ปรับสภาพผิว
น้ำผึ้งสามารถบรรเทาโรคผิวหนังได้ เช่น ผิวหนังอักเสบและรังแค และน้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติในการบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง สดใส และดูเนียนเป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจบำรุงด้วยการทา หรือนำมาผสมกับสมุนไพรอื่นๆทำเป็นครีมพอกหน้าก็ได้
4.ช่วยดีท็อกซ์ร่างกาย
น้ำผึ้งมีคุณสมบัติช่วยลดท้องผูก เพราะมีโพรไบโอติกส์ และ แลคโตบาซิลัส ที่มีส่วนช่วยให้ลำไส้แข็งแรงและขับถ่ายได้เป็นปกติ โดยให้นำกล้วยน้ำว้าสุกมาจจิ้มน้ำผึ้งแล้วทานเป็นประจำทุกเช้าหลังตื่นนอน
5.บรรเทาอาการแพ้อากาศ
น้ำผึ้งเหมาะกับผู้ป่วยที่มีโรคภูมิแพ้ เนื่องจากมีฤทธิ์คล้ายกับสารต้านอักเสบ ซึ่งจะบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้ไม่ต่างจากการฉีดวัคซีน ยิ่งถ้าเป็นน้ำผึ้งที่มาจากเกสรดอกไม้ มักจะมีอนุมูลเกสรขนาดเล็กอยู่เยอะ ซึ่งอนุมูลเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และร่างกายจะคุ้นเคยกับสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้และสร้างภูมิคุ้มกันทางเคมี อาการภูมิแพ้ก็จะบรรเทาลง
โทษของน้ำผึ้งหากทานมากเกินไป
– เกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย
– เสี่ยงโรคโบทูลิซึ่ม
ใครบ้างที่ไม่ควรทานน้ำผึ้ง
– เด็กทารกที่มีอายุต่ำกว่า 1 ขวบ
– คนที่เป็นโรคดีพิการ (คนที่มีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง)
– คนที่มีอาการแพ้น้ำผึ้ง เกสรน้ำผึ้ง
– คนที่เป็นโรคน้ำเหลืองเสีย
น้ำผึ้งแท้ดูอย่างไร
– ดูความเข้มข้นและความหนืด เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผสมอยู่
– สีต้องดูเป็นธรรมชาติ คือสีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาลใส และไม่ขุ่นทึบ
– ต้องมีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ
– ถ้านำมาหยดบนกระดาาไขจะไม่ซึม
– สังเกตการละลาย ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้เมื่อคนเข้ากันแล้วจะไม่ละลายทันที
ถึงน้ำผึ้งจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ควรระมัดระวังในการบริโภค โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน หรือเป็นเบาหวาน